UFABETWINS ซาร์ลันท์ : ทีมชาติเยอรมันที่ 3 ที่ถูกลืมเลือนไปจากประวัติศาสตร์

UFABETWINS

UFABETWINS พวกเขาคือชาติหลังสงครามที่ได้รับการรับรองโดยฟีฟ่า มีลีกภายในของตัวเอง และมีสโมสรที่เคยไล่ถล่มยอดทีมแห่งยุโรป

อย่าง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด จนพังพาบ และที่สำคัญ พวกเขายังเป็นทีมที่ 3 จากประเทศเยอรมัน ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากเยอรมันตะวันตก และเยอรมันตะวันออก ที่ได้ลงเตะในเวทีระดับนานาชาติ และมีลุ้นผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อย่างไรก็ดี วันนี้ “ทีมชาติซาร์ลันท์” กลับเหลือเพียงแค่อดีต เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ? ย้อนดูจุดกำเนิดและการล่มสลายของทีมนี้ได้ที่นี่ รัฐอิสระหลังสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 2

คือหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของโลกที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการแตกตัวออกเป็นประเทศน้อยใหญ่มากมาย หลังหลายชาติประกาศแยกตัวเป็นเอกราช หรือแบ่งแยกประเทศ เช่นกันสำหรับเยอรมัน หลังตกอยู่ในภาวะผู้แพ้สงคราม พวกเขาโดนฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบไปด้วย สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส และ สหภาพโซเวียต แบ่งประเทศออกเป็นสองส่วน คือ “เยอรมันตะวันตก” และ “เยอรมันตะวันออก”

อย่างไรก็ดี อันที่จริงหลังสงครามโลก เยอรมัน ไม่ได้แตกตัวออกเป็นแค่ 2 ชาตินี้เท่านั้น เพราะยังมีอีกชาติหนึ่งที่เคยเป็นดินแดนพิพาทมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ชื่อของพวกเขาคือ “ซาร์ลันท์” ซาร์ลันท์ คือดินแดนเล็ก ๆ ขนาดเพียง 2,568 ตารางกิโลเมตร ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมัน ใกล้กับพรมแดนของฝรั่งเศสและลักเซมเบิร์ก โดยแต่เดิม พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน แต่ถูกฝรั่งเศสยึดครองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

UFABETWINS

ก่อนจะกลับมาสู่อ้อมอกของเยอรมัน อีกครั้งในปี 1935 ในสมัยที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ ทว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาก็โดนฝรั่งเศสยึดครองไปอีกครั้ง ในฐานะรัฐอารักขา ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดินแดนที่มีขนาดเท่ากับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับความสนใจ เพราะพื้นที่แห่งนี้อุดมไปด้วยถ่านหิน ซึ่งถือเป็นแร่สำคัญที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นรัฐอารักขา แต่ในเชิงปฏิบัติ พวกเขามีสถานะกึ่งเอกราช และสิทธิในการปกครอง

ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศสที่แต่งตั้ง มาเป็นข้าหลวงใหญ่ ทำให้ซาร์ลันท์ มีทั้งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่สกุลเงินเป็นของตัวเอง และสถานะกึ่งเอกราชของพวกเขา ยังส่งผลไปยังฟุตบอลอีกด้วย สโมสรแห่งความภาคภูมิใจ แม้ว่าฟีฟ่าจะพยายามเน้นย้ำว่า ฟุตบอลและการเมือง ต้องแยกออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเพียงแค่อุดมคติเท่านั้น เพราะการเมืองไม่เคยหายไปจากฟุตบอล มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อดีต และ ซาร์ลันท์ ก็คือหนึ่งในตัวอย่าง

ชั้นดี เพราะหลังจากที่พวกเขาแยกตัวออกจากประเทศเยอรมัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สโมสรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับลีกเมืองเบียร์ และมาตั้งลีกของตัวเองที่ชื่อว่า Saarland Ehrenliga Champions ในตอนนั้น ซาร์ลันท์ มี เอฟเซ ซาร์บรูคเคน เป็นสโมสรที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของดินแดนแห่งนี้ แถมยังเป็นช่วงที่พวกเขากำลังเฉิดฉายอย่างเต็มที่ เมื่อทีมอุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เฮอร์เบิร์ต บิงเกอร์ต,

เฮอร์เบิร์ต มาร์ติน หรือ เกฮาร์ด ซิเดิล โดย บิงเกอร์ต และ ซีเดิล ถือเป็นคู่หูสุดอันตรายของในยุโรปในยุคนั้น การที่ทีมเต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอด ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งเกินไปที่จะเล่นในลีกของซาร์ลันท์ และประจวบเหมาะกับที่ กิลแบร์ กรันด์วัล ข้าหลวงใหญ่จากฝรั่งเศสที่ดูแลซาร์ลันท์ อยากจะใช้กีฬา เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนเยอรมันพอดี จึงได้เชิญ ซาร์บรูคเคน ไปเล่นในดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส (แทนที่ AS Angoulême ที่ถูกบังคับให้ถอนทีม)

ในฤดูกาล 1948-1949 และเปลี่ยนชื่อเป็น เอฟซี ซาร์บรูค อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นลีกต่างชาติ แต่ 11 ตัวจริง เอฟซี ซาร์บรูค ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า มันไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขา ผู้มาเยือนจากต่างแดน สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เกือบทุกเกมที่ลงสนาม และที่สำคัญพวกเขาอัดอย่างไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็นเอาชนะ รูอ็อง 10-1 หรือไล่ถล่ม วาลองเซียนส์ 9-0 ก่อนจะคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ฝรั่งเศส ไปอย่างง่ายดาย ความยอดเยี่ยมของพวกเขา ทำให้ จูลส์ ริเมต์

ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และฟีฟ่าในตอนนั้น พยายามผลักดันให้ ซาร์บรูคเคน ย้ายมาเล่นในลีกฝรั่งเศสอย่างถาวร โดยให้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ทว่าสโมสรในฝรั่งเศสส่วนใหญ่กลับไม่เห็นด้วย และโหวตต่อต้านโครงการนี้ ทำให้ จูลส์ ริเมต์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที พร้อมส่งผลให้ ซาร์บรูคเคน ต้องกลับไปเล่นไปเล่นในลีกของพวกเขา “คนของซาร์ไม่มีทางเป็นคนฝรั่งเศสได้” นี่คือเหตุผลหลักที่สโมสรฝรั่งเศส

UFABETWINS

พากันต่อต้าน อย่างไรก็ดี ซาร์บรูคเคน มองว่า พวกเขามาไกลเกินกว่าจะกลับไปเล่นในลีกเดิม ทำให้ในปี 1949 สโมสรได้จัดการแข่งขัน “ซาร์ลันท์คัพ” ขึ้นมา โดยเป็นการเชิญสโมสรจากทั่วยุโรป 14 ทีม และอีกหนึ่งทีมจากอเมริกาใต้ มาลงเตะแบบรอบแรกพบกันหมด ก่อนจะคัดเอา 4 อันดับแรกไปเตะน็อคเอาท์ ซึ่งรายการนี้ยังถูกมองว่าเป็นบรรพบุรุษของยูโรเปียนคัพ หรือยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปัจจุบันอีกด้วย และแน่นอนว่าแชมป์จะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก

ซาร์บรูคเคน หลังคว้าชัยเหนือทีมดังอย่าง สตองดาร์ ลีแอช (เบลเยียม), ออสเตรีย เวียน (ออสเตรีย), ไฮจ์ดุค สปลิต (ยูโกสลาเวีย) ก่อนจะเอาชนะ แรนส์ จากฝรั่งเศสได้ในนัดชิงชนะเลิศ หลังทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ซาร์บรูคเคน ยังเดินหน้าลงแข่งนัดกระชับมิตรกับทีมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และทำให้สโมสรจากซาร์ลันท์ กลายเป็นทีมที่น่าจับตามองของยุโรป เมื่อสามารถเอาชนะทีมดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบุกไปเอาชนะลิเวอร์พูลถึงถิ่น,

คว้าชัยเหนือทีมรวมดาราคาตาลัน (ทีมรวมระหว่างบาร์เซโลนาและ เอสปันญอล) รวมไปถึงไล่อัด เรอัล มาดริด ถึง ซานติอาโก เบอร์นาเบว ถึง 4-0 “เราเอาชนะ (เรอัล มาดริด) ไปได้ 4-0 บางทีพวกเขาอาจจะประเมินเราต่ำเกินไป มันเป็นความรู้สึกที่ดีเลยทีเดียว” แวร์เนอร์ ออตโต อดีตกองกลางของ ซาร์บรูคเคน ย้อนความหลังกับ UEFA.com ในฤดูกาล 1955-56 ยูฟ่าได้จัดการแข่งขัน ยูโรเปียนคัพ เป็นฤดูกาลแรก พวกเขาได้เชิญทีมแกร่งจากแต่ละชาติ

และ ซาร์บรูคเคน ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเป็นตัวแทนจาก ซาร์ลันท์ และทำเซอร์ไพรส์ ในเกมแรกของรอบแรก ด้วยการบุกไปเอาชนะ เอซี มิลาน ถึง ซาน ซิโร 4-3 น่าเสียดายที่นัดต่อมา พวกเขาเปิดบ้านพ่ายให้กับมิลานไปอย่างน่าเสียดาย หยุดเส้นทางเอาไว้แค่นี้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสโมสรจากซาร์ลันท์ นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ได้เฉิดฉายแค่ในระดับสโมสรเท่านั้น

 

คลิ๊กเลย >>> UFABETWINS

อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล