ปาแร็กเกตเฉี่ยวหัวบอลบอย, ดื่มเบียร์จากแก้วที่แฟนเทนนิสพยายามขว้างใส่เขาด้วยความเกลียดชัง อ้างว่าแพ้เพราะเสียสมาธิกับกับการเอาแต่จ้องสาวฮอตที่เข้ามาชมเกมการแข่งขัน.. นี่คือวีรกรรมสุดห่ามของ นิค คีริออส นักเทนนิสชาวออสเตรเลีย ผู้เคยถูกมองว่ามีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกในตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมสุดห่ามไม่เว้นแต่ละทัวร์นาเมนต์ ทำให้เขาถูกจำในแง่ของนักเทนนิสสายสร้างคอนเทนต์มากกว่าด้านความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น ใครเลยจะรู้ว่า เบื้องหลังความห่าม เกรียน และหัวร้อนของเขา คือความพยายามสุดขีดชนิดที่ว่า มันทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิสคนเดียวที่ยังเล่นอยู่ ณ เวลานี้ที่เคยเอาชนะ 3 เทพ อย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล และ โนวัค ยอโควิช ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
ไม่เก่ง แต่เร้าใจเห็นแบบนี้ นิค คีริออส นั้นมีเชื้อเป็นถึงลูกหลานของราชวงศ์ในประเทศมาเลเซีย นอร์ไลลา แม่ของเขาเป็นอดีตหนึ่งในคนของราชวงศ์รัฐสลังงอร์ ทว่าตอนอายุ 20 ปี แม่ของเขาได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียพร้อมกับสละตำแหน่งเจ้าหญิงของตนเองเพื่อมีชีวิตแบบสามัญชน และการมาที่ออสเตรเลีย ทำให้ นอร์ไลลา ได้เจอกับช่างทาสีชาวออสซี่เชื้อสายกรีกที่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงสร้างครอบครัวกัน โดยที่อดีตเจ้าหญิงแห่งรัฐสลังงอร์ก็ได้ประกอบอาชีพเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์เพื่อหาเลี้ยงชีพ
นิค เติบโตมาในฐานะลูกคนกลาง แต่กลับมีสภาพร่างกายที่สูงใหญ่และมีสรีระดีมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เขาเป็นนักกีฬาระดับแถวหน้าของโรงเรียนไม่ว่าจะเล่นกีฬาชนิดใดก็ตาม โดยเฉพาะกับกีฬาบาสเกตบอลที่ คีริออส ยอมรับว่ามันคือกีฬาสุดโปรดและเป็นจุดเริ่มต้นด้านกีฬาของเขา
ตอนอายุ 9 ขวบ นิค คีริออส ถูกส่งเข้าไปเรียนที่โรงเรียนพิเศษด้านเทนนิส ซึ่งถือเป็นสโมสรเทนนิสประจำเมืองแคนเบอร์รา บ้านเกิดของเขาด้วย โค้ชที่ดูแลการฝึกซ้อมของ นิค ชื่อว่า ท็อดด์ ลาร์กแฮม เล่าว่า นิค เป็นเด็กที่ตัวสูงและมีน้ำหนักมากตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มของการเล่นเทนนิสนั้น เขายอมรับว่า ไม่คิดว่า นิค จะกลายเป็นคนที่เก่งในระดับที่เล่นอาชีพได้ แต่เมื่อการซ้อมผ่านไปแต่ละวัน นิค ได้แสดงความแตกต่างของเขากับเด็กคนอื่นๆให้ ท็อดด์ เห็น และ ท็อดด์ ก็เริ่มรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีแพชชั่นและใส่อารมณ์ไปกับการแข่งขันมากกว่าใครที่เขาเคยเจอ
“ทุกครั้งที่ นิค ตีได้คะแนน เขาจะตะโกนเสียงว่า (มาเลย!) แถมการแข่งแต่ละแมตช์ก็จริงจังใส่หมดแม็กแบบที่ไม่มีเด็ก 9 ขวบคนไหนบนโลกนี้จะอินกับการแข่งขันได้ขนาดนี้.. แรกๆเขาอาจจะอ้วนและดูเชื่องช้าไปมาก แต่เขาไม่เคยแพ้ใครง่ายๆหรอก ใครเจอกับเขาก็ตึงมือทั้งนั้น.. ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งคิดว่า ไอ้เด็กคนนี้เนี่ยมันต้องมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่” ท็อดด์ ว่าไว้เช่นนั้น
นิค เลือกหันมาเล่นเทนนิสเป็นหลักเพราะความสนุกล้วนๆ เขาเริ่มลงเล่นในรุ่นจูเนียร์ โดยลงแข่งขันในระดับ 4 ของประเทศออสเตรเลีย ในช่วงอายุ 13 ปี ซึ่ง ณ เวลานั้น ร่างกายก็เป็นจุดเด่นของเขามากกว่าพรสวรรค์เหมือนเช่นเคย
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเด็กที่เก่งระดับหัวกะทิ แต่จุดเด่นของ คีริออส คือการเกลียดความพ่ายแพ้และชอบที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้เขาค่อยๆพัฒนาขึ้นในแต่ละปี ท็อดด์ เล่าเพิ่มเติมว่า แม้ คีริออส จะไม่ค่อยได้มีถ้วยแชมป์ในการแข่งขันช่วงที่เขายังเป็นเด็ก แต่ คีริออส เป็นคนที่มีแมตช์ในความทรงจำมากมาย เพราะการเป็นพวกไม่ยอมแพ้ กัดไม่ปล่อยนั่นเอง
“ย้อนไปตอนที่ นิค อายุได้สัก 16 ในการแข่งขันที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ผมยังจำได้ดีว่าเขาโดนคู่แข่งนำไป 0-5 เกม ผมเตรียมเก็บของพาเขาไปพักหลังแข่งแล้ว แต่บางอย่างในหัวของเขาก็เปลี่ยนไป เขามาบอกกับผมว่าผมจะไม่แพ้ไอ้นี่หรอก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาพละกำลังมาจากไหน หลังจากลงไปแข่งอีกครั้งเขาก็พลิกกลับมาชนะด้วยสกอร์ 7-5 ซึ่งการพลิกกลับมาชนะแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากตอนที่เขายังเป็นเด็กและวัยรุ่น” ท็อดด์ กล่าว
ถึงจะไม่เก่ง แต่ นิค คีริออส ก็อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะคนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างเขานั้นยอมทำทุกอย่างให้ตัวเองได้กลายเป็นผู้ชนะในสักวัน การเห็นจุดอ่อนของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กทำให้ช่วงหลังอายุ 16 ปีเป็นต้นไป นิค คีริออส เริ่มทุ่มแบบสุดตัว เอาจริงเอาจังกับการซ้อมมากขึ้น ศึกษาวิธีการเล่นของคู่แข่ง และเกาะติดอยู่กับแทคติกที่โค้ชสอนอย่างมีสมาธิเสมอ
จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เขายกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มกวาดรางวัลระดับจูเนียร์เป็นว่าเล่น ก่อนจะเริ่มเทิร์นโปรในปี 2013 และหลังจากนั้น 1 ปี เขาทำอันดับพุ่งรวดเดียวจากอันดับที่ 838 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 182 ของโลก โดยหนึ่งในเกมแห่งความทรงจำคือการเอาชนะ ราเด็ก สเตปาเน็ก นักเทนนิสมืออันดับ 8 ของโลกชาวเช็ก ได้ในรายการแกรนด์สแลมแรกในชีวิตของเขาอย่าง เฟรนช์ โอเพ่น 2013 ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น
“นิค ยกระดับตัวเองได้เร็วมากเลย เขาหาตัวเองในการแข่งขันได้ ดูเหมือนเมื่อแมตช์กำลังแข่งขัน เขาจะเริ่มจับจุดและพบวิธีที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ผมมองว่าเรื่องนี้มันเกินกว่าระดับที่ผมในฐานะโค้ชสอนเขาอีก มันเกี่ยวกับเรื่องของสภาพจิตใจและความฉลาดในเรื่องของแทคติก นั่นแหละคือทางของ นิค คีริออส ล่ะ” โค้ชท็อดด์ กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะส่งต่อ นิค คีริออส ให้กับผู้ฝึกสอนคนต่อไปเพื่อยกระดับขึ้นมาเป็นนักเทนนิสแถวหน้าของโลก
ขึ้นสุด.. ลงเกือบสุด
หลังผ่านปี 2014 เป็นต้นมา ชื่อของ นิค คีริออส เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในฐานะผู้เล่นที่น่าจับตามอง เขาสร้างตำนานไว้หนึ่งเรื่อง นั่นคือการได้ไวลด์การ์ดเข้าไปแข่งขันในแกรนด์สแลมอย่าง วิมเบิลดัน ก่อนจะเข้าไปถึงรอบ 8 คนสุดท้ายและคว่ำ “เบอร์ 1 ของโลก” อย่าง ราฟาเอล นาดาล ทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิสคนที่ 2 ที่ลงเล่นในวิมเบิลดันครั้งแรกและเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ต่อจาก โฟลเรียน เมเยอร์ นักเทนนิสชาวเยอรมันที่ทำไว้ในปี 2004
“ร่างกายของ คีริออส โดดเด่นมาก เขามีเอวที่แคบ มีไหล่ที่แข็งแรง มีใบหน้าอันเรียบเฉยเหมือนกับสุนัขเกรย์ฮาวด์ เขาอาจจะเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเล่นเทนนิสโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้” จอน เวอร์ไฮม์ บรรณาธิการบริหารของ พูดถึง คีริออส ที่ยังเป็นมืออันดับ 100 ของโลก ณ เวลานั้น
ช่วงเวลาหลังจากนั้นต้องบอกว่า คีริออส แจ้งเกิดจริงๆจังๆในวงการเทนนิสเลยก็ว่าได้ นักเทนนิสที่ขึ้นชื่อเรื่องตีหนักทั้งแบ็กแฮนด์และโฟร์แฮนด์อย่างเขาได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากชนะ นาดาล ได้ เขาก็เอาชนะ เฟเดอเรอร์ ในปี 2015 ชนะ ยอโควิช ในปี 2017 ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาทำได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 22 ปี ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ใครจะคิดว่าเขาดีพอจะก้าวเป็นเบอร์ 1 ของโลกได้ภายในอีกไม่นานนัก “หากปรับบางอย่างได้” และบางอย่างที่ว่ากลายเป็นของยากที่ คีริออส ไม่เคยสามารถก้าวข้ามมันได้เลย สิ่งนั้นคือ “การรักษามาตรฐาน” ในฐานะมืออาชีพ
คีริออส เริ่มเล่าว่า พอเขาเริ่มไต่อันดับไปอยู่ในช่วงท็อป 20 ของโลก เขาก็รู้สึกไม่สนุกกับเทนนิสเหมือนเคย ด้วยโปรแกรมแข่งขันที่อัดแน่นทำให้เขาต้องเดินทางไปแข่งทั่วโลกมากกว่า 7 เดือนต่อ 1 ปี เขาแทบจะไม่สามารถมีเวลาของตัวเองได้เลย ซึ่งตัวของ คีริออส เล่าว่า โดยเนื้อแท้แล้วแม้เขาจะเป็นคนชอบแข่งขัน แต่อะไรที่มากเกินไปพร้อมทั้งการต้องแบกความหวังของแฟนๆเทนนิสชาวออสซี่ มันทำให้เขาเริ่มเบื่อกับช่วงชีวิตที่วุ่นวาย
นานเข้าเขาก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า จากคนที่คุมอารมณ์ได้ดี เล่นเกมจิตวิทยา และมีสมาธิกับการแข่งขัน กลายเป็นว่าเขามักจะหลุดพฤติกรรมแย่ๆ จนกลายเป็นที่จดจำของแฟนๆได้อยู่บ่อยๆ เช่น การสบถคำหยาบใส่ผู้ตัดสิน ด่าคนดู เตะขวดน้ำ พังแร็กแกต ขว้างเก้าอี้ หนักข้อเข้าก็ถึงขั้นยอมรับว่าตั้งใจตีอัดใส่ตัวของ ราฟาเอล นาดาล แล้วบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
หลายคนคิดว่าเขาแค่พยายามสร้างตัวตนขึ้นมาเพื่อให้ถูกจดจำ แต่เขาบอกว่าภาวะจิตใจของเขาไม่ปกติ มีหลายสิ่งที่เขาทำไปโดยไม่ตั้งใจ บางครั้ง คีริออส ก็ยอมรับว่าเขาอยากจะเลิกเล่นเทนนิสไปเลยด้วยซ้ำ
“หลายคนไม่รู้หรอกนะว่านักเทนนิสนั้นมีชีวิตที่โดดเดี่ยวขนาดไหน ต้องอยู่ในสนามคนเดียว คุยกับใครก็ไม่ได้ คิดถึงแต่ตัวเองเพื่อตัวเอง ผมทำแบบนั้นมานานหลายปีติดต่อกันจนแทบจะอ้วก”
“หลายคนกดดันผม และผมเองก็กดดันตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเพิ่งเข้าใจเอาในช่วงหนึ่งว่า ตอนนั้นผมเล่นเทนนิสไม่สนุกแล้ว ความสุขที่มีมันหายไปหมด ผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เพราะคิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองต้องเป็น ผมกลัวที่จะต้องออกไปพบปะกับใคร เพราะผมรู้สึกว่ามีแต่คนรู้สึกผิดหวังในตัวผม ที่ผมไม่สามารถคว้าแชมป์หรือชนะในการแข่งขันได้”
จากนักเทนนิสที่ควรจะก้าวตามรอยของผู้เล่นอย่าง เฟเดอเรอร์, นาดาล หรือ ยอโควิช ได้ คีริออส หลุดจากการเป็นนักเทนนิสแถวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาสร้างปัญหา โดนปรับและโดนแบนจากการแข่งขันอยู่บ่อยๆ เขาสร้างพฤติกรรมน่าเบื่อหน่ายมากมายต่อเพื่อนร่วมอาชีพและแฟนเทนนิส ทั้งการแกล้งเจ็บเพราะขี้เกียจลงแข่งขัน, การลงไปแล้วเล่นแบบไม่เต็มร้อยแบบที่ตั้งใจแสดงให้คนดูเห็นว่า “ขี้เกียจ”
บอริส เบ็คเกอร์ ตำนานนักเทนนิสชาวเยอรมนี กล่าวตำหนิเขาว่า “ตามความเห็นของผม คิดว่าการถูกปรับนั้นสมควรแล้วจากพฤติกรรมไม่มีน้ำใจนักกีฬาทั้งในและนอกสนาม การถ่มน้ำลาย พูดคำหยาบที่ไม่เหมาะสม เพราะเรามีตัวอย่างดีๆอย่าง โรเจอร์, ราฟา หรือ โนเล่”
ในช่วงที่ คีริออส แย่ที่สุด ก็มีโอกาสดีๆเกิดขึ้นกับเขา มันเป็นช่วงเวลาต้นปี 2020 ที่สถานการณ์โควิด-19 เล่นงานทั่วโลก จนวงการเทนนิสต้องหยุดแข่งขันเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งนั่นเองเป็นช่วงเวลาที่ คีริออส ซึ่งอันดับโลกกำลังตกฮวบๆจนเขาท้อ โทรไปบอกผู้จัดการว่าเขาจะขอแขวนแร็กเกตเพื่อจะได้กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง และค้นหาเกมใหม่ในวิถีที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
เลือกเป็นเจ้าพ่อคอนเทนต์
ช่วงที่โควิด-19 ระบาดทั่วโลก คีริออส เริ่มเปิดใจและเข้าพบจิตแพทย์ สิ่งที่เขาได้รับคำแนะนำคือการแบ่งหน้าที่และรู้จักตัวเองว่าลึกๆแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่?
คีริออส บอกว่า เขาไม่อยากเครียดกับเทนนิสอีกแล้ว เขาปลดผู้จัดการส่วนตัวของเขาออกและตั้ง แดเนียล ฮอร์สฟอล เพื่อนสนิทของเขานั่งตำแหน่งนี้แทน มีการเคลียร์เรื่องสัญญาเก่าๆที่ค้างคา เพื่อทำให้เขาเดินหน้าต่อได้อย่างไร้กังวล
เขาไม่โดนจี้หรือตามไปแข่งแบบที่เขาไม่อยากแข่ง ทำให้เขามองเห็นตัวเองแล้วผ่อนคลายขึ้นเยอะ คีริออส เริ่มทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น การตอบแทนสังคมด้วยการบริจาคเงินหรือตั้งมูลนิธิ NK เพื่อสนับสนุนการสร้างสนามกีฬาที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชนที่ด้อยโอกาส ซึ่งยิ่งทำ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้สึกของเขานั้นเปลี่ยนไป จากที่เกลียดพวกคนดูหรือการอยู่ในที่คนเยอะๆ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองได้รับคำชื่นชมมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะนักเทนนิสที่เก่งกาจ แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง นั่นทำให้เขารู้สึกดีกว่าที่เคยเป็น
“มีนักเทนนิสหลายคนที่เก่งระดับโลก พวกเขาหายใจเข้าหายใจออกเป็นเทนนิส ผมไม่ได้ว่าพวกเขาหรอกนะ เพราะมันควรเป็นแบบนั้น พวกเขาไม่ผิดเลย กลับกัน นักเทนนิสอย่างผมกลับถูกเรียกว่า ‘ไม่มีปัญญาเป็นแชมป์’ หรือ ‘ไม่มีแพชชั่นมากพอ’ ผมก็คงต้องบอกว่า ‘เออ ก็แล้วแต่’ ผมเองรู้สึกว่า ผมกลายเป็นคนที่มีอิสระกับชีวิตมากขึ้น ถึงตอนนี้ผมไม่ได้สนใจแล้วว่าคนอื่นจะคิดยังไง”
“ผมไม่เคยถอดใจกับเทนนิสหรอกนะ ผมยังคงอยากเป็นนักเทนนิสระดับไอคอนเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ผมจะเป็นไอคอนในแบบของผมเอง เป็นคนที่ออกไปเล่นและออกไปสู้ในแบบที่ตัวเองเป็น ผมไม่สนใจจริงๆว่าถึงที่สุดแล้วผมจะไม่เคยสัมผัสแชมป์ระดับแกรนด์สแลมหรือไม่มีวันเทียบรอยเท้าของ เฟเดอเรอร์ ได้แม้แต่น้อย ผมไม่สนใจจริงๆ ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง ผมคิดว่า ผมเอาเวลามาเป็นตัวของตัวเองดีกว่าเยอะ”
การหันมาสบายๆ เลือกกลายเป็นคนที่มีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ ทำให้ คีริออส กลับมาสนุกกับเทนนิสอีกครั้ง ในปี 2022 นี้ เขาเพิ่งคว้าแชมป์ชายคู่ในรายการระดับเมเจอร์ที่บ้านเกิด ออสเตรเลียน โอเพ่น ด้วยการจับคู่กับ ธานาซี ค็อกคินาคิส ที่เป็นเพื่อนซี้ของเขาที่เป็นชาวออสซี่เชื้อสายกรีกเหมือนกันด้วย
การคว้าแชมป์รายการนี้สำหรับ คีริออส เป็นเหมือนการยืนยันว่าเขาคิดถูกที่เลือกกลับมาเดินบนวิถีที่ตัวเองถนัด เพราะช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ทั้งการติดโควิด-19, โดนคนออสเตรเลียโจมตี และถูกกล่าวว่าเป็นนักเทนนิสที่เป็น “ขยะของวงการ” แต่สุดท้าย เขาก็เจอกับช่วงเวลาที่มีความสุขกับกีฬาเทนนิสจนได้
“ผมรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด แต่ผมเพิ่งเรียนรู้วิธีจัดการกับทุกสิ่ง ผมคิดว่าตอนนี้ เมื่ออายุ 26 ปี ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว และผมก็ตระหนักดีว่ามีเด็กกับผู้คนมากมายที่ตั้งความหวังและจ้องมองพวกเราตลอดเวลา พวกเขามักจะมองมาที่เราเมื่อเราออกไปที่สนาม และเช่นเดียวกัน ผมก็พบว่า ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คุณอาจจะเห็นว่าเดินอยู่ในออสเตรเลีย” คีริออส เล่าถึงความสำเร็จครั้งล่าสุดของเขา