ทีมชาติอังกฤษ เข้าป้ายเพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์ เมื่อเสมอกับอิตาลี 1-1 และพ่ายในช่วงดวลจุดโทษ
พลาดแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรก ในรอบ 55 ปีไปอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่า ความเสียดายมากขึ้นไปอีก เมื่อพลพรรค “สิงโตคำราม” ลงเล่นนัดชิงในบ้านของตัวเองด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนึ่งในนักเตะ ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของ ทีมชาติอังกฤษ นั่นคือ “ราฮัม สเตอร์ลิ่ง” ที่ถูกวิจารณ์ตั้งแต่รอบแรก จนถึงรอบชิงชนะเลิศ ความเห็นส่วนมากบอกว่า ดาวเตะจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รายนี้ เล่นได้ไม่ตามมาตรฐาน ที่ควรจะเป็น และไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากสถิติทางตัวเลขแล้ว ผลงานส่วนตัวของสเตอร์ลิ่ง ในยูโร 2020 รอบสุดท้าย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย เมื่อยิง 3 ประตู 1 แอสซิสต์ และมีความแม่นยำในการผ่านบอลถึง 84 เปอร์เซนต์ พร้อมกันนี้ เขายังเลี้ยงบอลฝ่าคู่แข่ง 34 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นอันดับ 1 ในทัวร์นาเมนต์เลยทีเดียว
ช่วงนี้ เราลองไปย้อนดูปูมหลัง และชีวิตของสเตอร์ลิ่ง กันหน่อยว่า กว่าจะมาเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคอะไรมาบ้าง พร้อมกับในแง่มุมของครอบครัว ที่เปรียบเหมือนกับ แรงผลักดันชั้นดี ในการพาเขามาถึงจุดนี้ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามชีวิตบางตอน ของเขากันเลย
“วันที่ผมสามารถซื้อบ้าน ให้กับคุณแม่ได้ … นั่นอาจเป็นวันที่ผม มีความสุขมากสุดในชีวิต”
เรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนคือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ไม่ได้เป็นคนอังกฤษ โดยกำเนิด โดยเขาลืมตาดูโลกที่ “คิงส์ตัน” เมืองหลวงของประเทศจาไมก้า จากจุดเริ่มต้น ที่คุณพ่อของเขาเสียชีวิตไป จากการโดนฆาตกรรม ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
จากการสูญเสียครั้งนั้น ส่งผลให้คุณแม่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการออกเดินทางมา ยังประเทศอังกฤษ เพราะอยากจะยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงหาหนทางใหม่ ในการดำรงชีพ ซึ่งเวลานั้น สเตอร์ลิ่ง มีอายุเพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้น นอกจากนี้เธอยอมทำทุกวิถีทาง ในการผลักดันลูกชายคนนี้ ที่มีความฝันอยากเป็น นักฟุตบอลอาชีพด้วย
ย้อนเวลากลับไปในวันวาน คุณแม่ของสเตอร์ลิ่ง รับบทบาท และทำหน้าที่เป็นพนักงาน ทำความสะอาด โดยเธอทำควบคู่ไปกับ การเรียนหนังสือ นี่คือสิ่งที่เธอต้องอดทนลงมือทำ โดยมีลูกๆ เป็นกำลังใจอยู่ไม่ห่าง แม้การเอาตัวรอดในแต่ละวัน จะยากเย็นมากก็ตามที
จากการที่รายได้ต่อเดือน ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ครอบครัว มีความจำเป็นต้องย้ายบ้านบ่อยครั้ง อันเนื่องมาจาก ไม่มีเงินค่าเช่า แม้ว่าจะทำงานอย่างหนักหน่วง และเต็มไปด้วยอุปสรรค ที่ขวางหน้า ทว่าคุณแม่ไม่เคยปล่อยเขา ไปฝึกซ้อมฟุตบอลคนเดียวเลย โดยจะคอยไปส่งอยู่เสมอ กระทั่งได้เขาอะคาเดมี่ของทีมดัง ในลอนดอนอย่างคิวพีอาร์
สเตอร์ลิ่ง เริ่มเล่าว่า เขาไม่อยากเป็นภาระ ของคุณแม่ จึงอาสาไปช่วยงานทุกครั้ง ด้วยความเต็มใจ โดยบอกว่า “คุณแม่ของผมเป็นพนักงาน ทำความสะอาดตามโรงแรมต่างๆ เพื่อเป็นการหาเงินพิเศษ มาช่วยเหลือในเรื่องของ การเรียนของท่าน ผมจำไม่เคยลืมเลือนว่า ผมต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ซึ่งเป็นช่วงเช้าก่อนไปเรียนหนังสือ”
“สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะว่าผมต้องไป ช่วยคุณแม่ทำความสะอาดห้องน้ำ ที่โรงแรม ที่ตั้งอยู่ในสโตนบริดจ์ ผมอยากบอกว่า ผมมีเรื่องต้องถกเถียงกับพี่สาวเสมอแหล่ะ ในเรื่องเกี่ยงกันทำความสะอาด อาทิเช่น –เธอต้องไปขัดห้องน้ำเดี๋ยวนี้ เพราะฉันเปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้ว เป็นต้น-”
ดาวเตะวัย 26 ปี กล่าวต่อไปว่า เขาเต็มใจทำแบบนั้น เพราะอยากจะให้ครอบครัว หลุดพ้นจากชีวิตความเป็นอยู่แบบนั้นเสียที แม้บางเวลา เขาจะรู้สึกว่าโลกใบนี้มันไม่ยุติธรรม จากการต้องคอยฝ่าฟันต่อไปอีกเรื่อยๆ โดยมีฟุตบอลเป็น เครื่องมือนำทาง ท้ายที่สุด มันก็ตอบแทนความฝันของเขา เมื่อกลายมาเป็นนักเตะอาชีพ เป็นผลสำเร็จ
สเตอร์ลิ่ง ทิ้งท้ายถึงแรงบันดาลใจ ให้เขาเก็บเงินจากการเล่นฟุตบอล จนสามารถซื้อบ้า นให้คุณแม่ได้สำเร็จว่า “ผมยังจำช่วงเวลาตอนเป็นเด็กได้ดี ขณะที่ผมเสร็จสิ้น การฝึกซ้อมฟุตบอล และกำลังนั่งรถบัสกลับบ้าน คุณแม่จะส่งข้อความ มาหาผมว่าครอบครัวของเรา ต้องย้ายบ้านอีกแล้ว”
“ย้อนกลับไป 15 ปีที่แล้ว ครอบครัวของเรายังมีหน้าที่ ทำความสะอาดห้องน้ำในสโตนบริดจ์ และต้องกินอาหาร จากตู้หยอดเหรียญอยู่เลย หากจะต้องมีใครสักคนที่สมควรมีความสุข มันก็ต้องเป็น คุณแม่ของผมนี่แหล่ะ“
“ท่านมาอังกฤษ โดยที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แถมต้องคอยล้างห้องน้ำ และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนด้วย ดูตอนนี้ซิ ท่านช่วยให้ลูกชายคนนี้ก้าวมาเล่นทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย”
นี่คือเรื่องราวการสู้ชีวิต ของเด็กล้างห้องน้ำ สู่นักเตะสิงโตคำราม และเรือใบสีฟ้า … ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านเพิ่มเติม >>> บ้านผลบอล